วิธีแต่งกลอนสุภาพให้ถูกต้อง
กลอนสุภาพ คือกลอนที่ให้ถ้อยคำ และทำนองเรียบๆ แบ่งออกเป็น ๔ ชนิด คือ
๑.กลอนหก ( ๖ พยางค์ )
๒.กลอนเจ็ด ( ๗ พยางค์ )
๓.กลอนแปด( ๘ พยางค์ )
๔.กลอนเก้า ( ๙ พยางค์ )
กลอนสุภาพ นับว่าเป็นกลอนหลัก เพราะเป็นหลักของบรรดากลอนทุกชนิด ถ้าเข้าใจกลอนสุภาพ เป็นอย่างดีแล้ว ก็สามาระจะเข้าใจกลอนอื่นๆได้โดยง่าย กลอนอื่อนๆที่มีเชื่อเรียกไปต่างๆนั้น ล้วนแต่ักเยื้อง แบบวิธีไปจากกลอนสุภาพซึ่งเป็นกลอนหลัก
๑.แผนผังและข้อบังคับของกลอนสุภาพ
กลอนสุภาพ ( กลอนแปด ) หนึ่งบทมี ๔ วรรค ๒ บาท มีชื่อเรียกต่างๆกันคือ
- วรรคที่ ๑ เรียกว่า วรรคสดับ
- วรรคที่ ๒ เรียกว่า วรรครับ
- วรรคที่ ๓ เรียกว่า วรรครอง
- วรรคที่ ๔ เรียกว่า วรรคส่ง
ในแต่ละวรรคของกลอนสุภาพจะมีจำนวนคำประมาณ ๗-๙ คำ (พยางค์) แต่ที่นิยมใช้คือ ๘ คำ
๒.ลักษณะของกลอนสุภาพ มีดังนี้
– คำสุดท้ายของวรรคที่ ๑ ส่งสัมผัสไปยังคำที่ ๓ หรือ ๕ของวรรคที่ ๒ ในกรณีที่วรรคที่ ๒มี ๘คำพอดี แต่ถ้าในวรรคที่ ๒มีอยู่ ๙คำ จะเลื่อนไปสัมผัสกับคำที่ ๖ แทน
– คำสุดท้ายของวรรคที่ ๒ ไปสัมผัสกับคำสุดท้ายของวรรคที่ ๓
– คำสุดท้ายของวรรคที่ ๓ ไปสัมผัสกับคำที่ ๓ หรือ ๕ (เช่นเดียวกับสัมผัสในวรรคที่ ๑ ไปวรรคที่
– คำสุดท้ายของวรรคที่ ๔ ส่งสัมผัสกับคำสุดท้ายของวรรคที่ ๒ ของบทต่อไป
สัมผัสนอก-สัมผัสใน
กลอนสุภาพมีสัมผัสที่เราต้องคำนึงถึงอยู่ ๒ ชนิดคือ
๑. สัมผัสนอก ได้แก่สัมผัสที่อยู่นอกวรรคอันได้แก่ สัมผัสระหว่างวรรคและสัมผัสระหว่างบท ถือเป็นสัมผัสบังคับ สัมผัสชนิดนี้จะใช้คำที่มีสระเดียวกัน ตัวสะกดมาตราเดียวกันมาสัมผัสกันเช่น กา-ขา-ค้า-ป้า-ช้า-น่า หรือ กิน-ดิน-ศิลป์-จินต์….ฯลฯ เราเรียกสัมผัสที่ใช้สระเดียวกัน และตัวสะกดมาตราเดียวกันนี้ว่า สัมผัสสระ
๒. สัมผัสใน ได้แก่สัมผัสที่อยู่ในวรรคเดียวกัน เป็นสัมผัสที่ไม่บังคับ จะมีหรือไม่มีก็ได้ เพิ่มขึ้นมาเพื่อให้เกิดความไพเราะ สัมผัสในจะใช้เป็นสัมผัสสระ หรือ สัมผัสพยัญชนะ(สัมผัสอักษร) ก็ได้ สัมผัสในจะอยู่ระหว่างคำที่ ๕ กับ ๖ หรือ ๕ กับ ๗ (ในกรณีที่วรรคนั้นๆมี ๘ คำ)และระหว่างคำที่ ๖ กับ ๗ หรือ ๖ กับ ๘ (ในกรณีที่วรรคนั้นๆมี ๙ คำ)
ตัวอย่าง
โน่นเสื้อครุยยังว่างเปล่ารอเจ้าแล้ว เสน่ห์แพรวแย้มบานมานานเนิ่น
ภาพบัณฑิตยิ้มระเรื่ออย่างเชื้อเชิญ คือทางเดินสำหรับเจ้าจะก้าวไป
( บันลือ จินดาศรี )
สัมผัสในนิยมใช้สัมผัสสระมากกว่าสัมผัสพยัญชนะและสามารถอนุโลมให้คำที่มีสระเสียง
สั้น-ยาวต่างกัน แต่มีตัวสะกดมาตราเดียวกันสัมผัสกันได้ เช่น ดิน-ศีล/ วัน-การ/ใจ-กาย เป็นต้น
เสียงวรรณยุกต์ลงท้ายวรรค
-วรรคที่ ๑ (วรรคสดับ)…สามารถลงท้ายด้วยเสียงวรรณยุกต์ใดก็ได้ แต่ไม่นิยมใช้เสียงสามัญ
-วรรคที่ ๒ (วรรครับ)…ให้ลงท้ายด้วยเสียงเอก หรือ โท หรือ จัตวา ห้ามเสียงสามัญ และ ตร
-วรรคที่ ๓ (วรรครอง)…ให้ลงท้ายด้วยเสียงสามัญ หรือ ตรี ห้ามเสียงเอก โท จัตวา
-วรรคที่ ๔ (วรรคส่ง)…ให้ลงท้ายเช่นเดียวกับในวรรคที่ ๓
สำหรับผู้ที่เพิ่งหัดแต่งกลอนใหม่ๆ ไม่ควรลงท้ายวรรคที่๒/ ๓ /๔ ด้วยมาตราแม่ กก กบ กด เพราะอาจจะทำให้หลงเสียงวรรณยุกต์ได้
แต่งกลอนให้ไพเราะ
การที่เราจะแต่งกลอนให้ไพเราะนั้นคงไม่ใช่เรื่องยากแต่ที่ยากที่สุดน่าจะอยู่ตรงที่การเริ่มต้นมากกว่า เพราะหลายต่อหลายคนมักจะมีปํญหาตรงที่ ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นตรงไหน ? อย่างไร? ขอแนะนำว่าให้ปฏิบัติตามขั้นตอนดังนี้
ฝึกแต่งกลอนจากง่ายไปหายาก
-ลองสำรวจดูซิว่าในชั้นเรียนของเรามีชื่อว่าอะไรกันบ้างเช่น สมมุตติว่ามีชื่อเกรียงไกร สมควร ศุภชัย ศักดา กรองพล ทักษิณ เฉลิมชนม์ คำรณ …เราก็อาจเรียบเรียงให้เป็นกลอนสี่อย่างง่ายๆได้ว่า…
สมควรเกรียงไกร ศุภชัยกรองพล
ทักษิณเฉลิมชนม์ คำรณศักดา
หรืออาจจะเรียงเป็นกาพย์ยานี๑๑ ก็คงไม่มีใครห้ามเช่น…
สมควรเพื่อนเกรียงไกร ส่วนศุภชัยเพื่อนกรองพล
ทักษิณกับเฉลิมชนม์ เพื่อนคำรณและศักดา
ที่มา : http://www.l3nr.org/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น